การประยุกต์ใช้วัสดุทางกายภาพและชีวภาพปกคลุมผิวน้ำเพื่อลดอัตราการระเหยของน้ำในแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็ก
คำสำคัญ:
การลดอัตราการระเหย, การปกคลุมแหล่งน้ำทางกายภาพ, การปกคลุมแหล่งน้ำทางชีวภาพบทคัดย่อ
การระเหยเป็นกระบวนการหลักที่ส่งผลต่อการสูญเสียน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ อ่างเก็บน้ำขนาดเล็กที่มีอยู่มากในประเทศไทย ดังนั้น การศึกษาแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการลดอัตราการระเหยจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การสูญเสียน้ำที่เกิดขึ้นในแต่ละปีมีปริมาณลดลง แนวทางหนึ่งที่เป็นที่นิยมใช้คือการปกคลมผิวน้ำด้วยวัสดุต่างๆ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการลดอัตราการระเหยจากแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็กโดย 2 วิธีหลัก ได้แก่ วิธีการทางกายภาพ โดยใช้วัสดุประเภทลอยน้ำ ได้แก่ ลูกบอลพลาสติกและขวดพลาสติกเหลือใช้ และวิธีการทางชีวภาพ ได้แก่ การใช้แหนปกคลุมผิวน้ำ การศึกษาเริ่มจากการก่อสร้างบ่อซีเมนต์จำนวน 3 บ่อ ทำการทดลอง 3 ครั้งซึ่งในทุกครั้งจะมีบ่อควบคุมที่ไม่มีวัสดุปกคลุม 1 บ่อ การทดลองครั้งที่ 1 เป็นการเปรียบเทียบอัตราการระเหยระหว่างการใช้ลูกบอลพลาสติกปกคลุมผิวน้ำทั้งหมดและปกคลุมร้อยละ 70 ของพื้นที่ผิวน้ำ ครั้งที่ 2 เป็นการเปรียบเทียบการใช้ลูกบอลพลาสติกและการใช้แหนปกคลุมผิวน้ำ และครั้งที่ 3 เป็นการเปรียบเทียบระหว่างการใช้ลูกบอลพลาสติกและการใช้ขวดพลาสติกปกคลุมผิวน้ำ ผลการศึกษาพบว่า การใช้ขวดพลาสติกมีประสิทธิภาพสูงสุดในการลดอัตราการระเหย (64%) รองลงมาคือการใช้ลูกบอลพลาสติกปกคลุมผิวน้ำทั้งหมด (55%) การใช้แหนมีประสิทธิภาพต่ำที่สุด (18%) โดยบ่อที่ใช้ขวดพลาสติกลดอัตราการระเหยเฉลี่ยต่อวันได้ 3.25 มม./วัน หรือเท่ากับ 1,185.34 มม./ปี อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาต้นทุนวัสดุที่ใช้ในการลดอัตราการระเหย พบว่า การใช้ลูกบอลปกคลุมผิวน้ำมีต้นทุนสูงสุด 584 บาท/ตร.ม. รองลงมาคือขวดพลาสติกซึ่งมีประสิทธิภาพสูงที่สุดโดยมีต้นทุนเท่ากับ 15 บาท/ตร.ม. ในขณะที่แหนจะไม่มีค่าต้นทุนในส่วนของวัสดุ แต่จะมีต้นทุนในส่วนของค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากต้องมีการเปลี่ยนแหนที่ใช้ในการปกคลุมผิวน้ำเป็นระยะๆ
References
KhongBoriruk, P. and Suebsuk, K., 2011, “Evaporation in Thailand for 10 Year (2001-2010),” Thai Meteorological Department, Ministry of Information and Communication. (in Thai)
Anuluxtipun, Y. and Thianpopirug, S., 2003, “Drought Hazard and Desertification in Thailand,” Research Report, Office of Land Management Research and Development, Land Development Department (in Thai)
Thailand Research Fund, 2011, “How to Manage Water Resources in Drought Situation in Thailand?” TRF Policy Brief, Vol 2 19/2554.
Youssef, Y.W. and Khodzinskaya, A., 2019, “A Review of Evaporation Reduction Methods from Water Surfaces,” E3S Web of Conferences 97, 05044.
Craig, I, Green, A., Scobie, M. and Schmidt, E., 2005, Controlling Evaporation Loss from Water Storages, National Centre for Engineering in Agriculture Publication 1000580/1, USQ, Toowoomba.
Assouline, S., Narkis, K. and Or, D., 2011, “Evaporation Suppression from Water Reservoirs: Efficiency Considerations of Partial Covers,” Water Resources Research, 47, W07506.
Alvarez, V.M., Baille, A., Molina Martinez, J.M. and Gonzalez-Real, M.M., 2006, “Efficiency of Shading Materials in Reducing Evaporation from Free Water Surfaces,” Agricultural Water Management, 84, pp. 229-239.
Chaudhari, N. and Chaudhari, N.D., 2015, “Use of Thermocal Sheet as Floating Cover to Reduce Evaporation Loss in Farm Pond,” HYDRO 2015 INTERNATIONAL, 20th International Conference on Hydraulics, Water Resources and River Engineering, 17-19 December 2015.
Alam, S. and Alshaikh, A.A., 2013, “Use of Palm Fronds as Shaded Cover for Evaporation Reduction to Improve Water Storage Efficiency,” Journal of King Saud University-Engineering Sciences, 25 (1), pp 55-58.
Yao, X., Zhang, H., Lemckert, C., Brook, A. and Schouten, P., 2010, “Evaporation Reduction by Suspended and Floating Covers: Overview, Modelling and Efficiency,” Urban Water Security Research Alliance Technical Report NO.28.
Land Development Department, 2018, Water Storage for Agricultural Fields in Rainfed Area Project [Online], Available: http://www.ldd.go.th/WEB_Water/Index.html. (In Thai) [25 February 2020]
Downloads
เผยแพร่แล้ว
How to Cite
ฉบับ
บท
License
Copyright (c) 2021 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
เนื้อหาของบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science and Engineering Connect ในทุกรูปแบบ รวมถึงข้อความ สมการ สูตร ตาราง ภาพ ตลอดจนภาพประกอบในรูปแบบอื่นใด เป็นลิขสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี การนำเนื้อหา ไม่ว่าจะในรูปแบบใด ของบทความไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตจากบรรณาธิการวารสารอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนเท่านั้น