https://ph04.tci-thaijo.org/index.php/JEITB/issue/feedวารสารวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมบ้านสมเด็จ 2025-06-17T16:29:59+07:00ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กฤดิธฤต ทองสินkridtharit.th@bsru.ac.thOpen Journal Systems<h2>เกี่ยวกับวารสาร</h2> <p>วารสารวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมบ้านสมเด็จ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้จัดตั้งวารสาร ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2563 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้และผลงานทางวิชาการที่มีคุณภาพในด้านวิศวกรรมศาสตร์ ได้แก่ วิศวกรรมพลังงาน อุตสาหการ การผลิต โลจิสติกส์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พอลิเมอร์และวัสดุ เคมี เครื่องกล โยธาและสิ่งแวดล้อม คอมพิวเตอร์และสารสนเทศ รวมถึงสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น เทคโนโลยีอุตสาหกรรม ออกแบบผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีอาหาร และสาขาอื่น ๆ ทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ คณาจารย์ นักศึกษา และนักวิจัยทั้งภายในและภายนอกสถาบัน โดยรับพิจารณาบทความวิจัย (Research Article) และบทความวิชาการ (Academic Article) ที่ไม่เคยเผยแพร่หรืออยู่ระหว่างการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารอื่น บทความทุกบทความจะต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายสถาบันที่เชี่ยวชาญอย่างน้อย 3 ท่าน บทความผู้นิพนธ์ภายนอกได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายในและภายนอกที่ไม่ได้สังกัดเดียวกับผู้นิพนธ์ ส่วนบทความผู้นิพนธ์ภายในได้รับการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงานที่จัดทำวารสาร แบบผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แต่งไม่ทราบชื่อกันและกัน (double-blind review) <strong>และไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใด ๆ</strong> <strong>ในทุกขั้นตอน</strong> สำหรับการกำหนดจัดทำวารสารปีละ 2 ฉบับ ดังนี้</p> <p>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม-มิถุนายน ของทุกปี</p> <p>ฉบับที่ 2 เดือนกรกฎาคม-ธันวาคม ของทุกปี</p>https://ph04.tci-thaijo.org/index.php/JEITB/article/view/7901ความสำคัญของคาร์บอนฟุตพรินต์ต่อองค์กร2024-12-30T11:16:33+07:00นพนันต์ เมืองเหนือnoppanan.mu@bsru.ac.thนพณัช พวงมาลีnoppanan.mu@bsru.ac.thเศรษวิทย์ แสงทิพย์noppanan.mu@bsru.ac.th<p>บทความนี้จะกล่าวถึงคาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) เป็นการวัดผลกระทบของผลิตภัณฑ์ และบริการจากกิจกรรมของคนที่มีต่อสิ่งแวดล้อมในเชิงปริมาณ หมายถึง ปริมาณของก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกมาจากกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับองค์กรหรือหน่วยงานทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยก๊าซเรือนกระจกที่นำมาพิจารณามีอยู่ 7 ตัวด้วยกัน คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO<sub>2</sub>), ก๊าซมีเทน (CH<sub>4</sub>), ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N<sub>2</sub>O) , กลุ่มก๊าซไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs), กลุ่มก๊าซเปอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs), ก๊าซซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรด์ (SF<sub>6</sub>) และก๊าซไนโตรเจนไตรฟลูออไรด์ (NF<sub>3</sub>) โดยใช้ตัวบ่งชี้คือโอกาสในการเกิดภาวะโลกร้อน (Global Warming Potential; GWP) ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าวงการไอทีของเราก็มีส่วนก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนเช่นเดียวกัน ดังนั้น เราจึงควรศึกษาเรื่องของคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และร่วมมือกันลดมลพิษให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ โดย Carbon Footprint ถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการควบคุมองค์กร และภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ดำเนินกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากเกินไปจนส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต เพื่อให้สามารถข้าใจถึง Carbon Footprint มากยิ่งขึ้น ในบทความนี้กล่าวถึง Carbon Footprint คืออะไร มีกี่ประเภท และทำไมองค์กรยุคใหม่ต้องให้ความสำคัญ</p>2025-06-17T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมบ้านสมเด็จhttps://ph04.tci-thaijo.org/index.php/JEITB/article/view/8006การลดปริมาณของเสียในกระบวนการผลิตฝาขวดพลาสติก โดยประยุกต์หลักการ DMAIC กรณีศึกษา บริษัท XXX จำกัด2025-01-13T06:12:12+07:00ศุภณัฐ กลิ่นถือศิลsupanut.k@cit.kmutnb.ac.thปิยฉัตร จันทิวาsupanut.k@cit.kmutnb.ac.thกมลพร วิศิษฎ์ธำรงวุฒิsupanut.k@cit.kmutnb.ac.thแพรวา เอมดิษฐ์supanut.k@cit.kmutnb.ac.thโสภิดา ท้วมมีsupanut.k@cit.kmutnb.ac.th<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาสาเหตุการเกิดของเสียจากกระบวนการผลิตฝาขวดพลาสติกและเพื่อลดสัดส่วนของเสียในกระบวนการผลิตฝาขวดพลาสติกโดยการประยุกต์ใช้หลักการ DMAIC ร่วมกับเครื่องมือควบคุมคุณภาพ เช่น แผนภูมิพาเรโต และแผนภาพก้างปลา เพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา และหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นระบบ และทราบปัญหาอย่างชัดเจน จากการวิเคราะห์ปัญหา พบว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดของเสียประเภทการเกิดของเสียหลังการเปิดเครื่องหลังการซ่อม (Set Up) คือ (1) เครื่องจักรขาดการบำรุงรักษา เสียบ่อย และ (2) วิธีการ เนื่องจากบริษัทขาดการทำขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Work Instruction) และพนักงานไม่ตรวจสอบคุณภาพระหว่างเดินเครื่องจักร จึงได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยการจัดทำแบบประเมินความพร้อมก่อนการเริ่มทำงาน และการจัดทำแผนการบำรุงเชิงป้องกันมาใช้เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ผลการศึกษา และทำการปรับปรุงแก้ไข พบว่า แนวโน้มของเสียที่เกิดจากการเปิดเครื่องหลังการซ่อม (Set Up) มีปริมาณลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมมีผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน รวมระหว่างเครื่องจักร A และ B ทั้งหมด 13,366 กิโลกรัม คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของเสียทั้งหมด 5.16 % หลังการปรับปรุงเหลือเพียง 1.8 % สามารถลดลงได้ 3.36 % จากผลการศึกษาสามารถนำหลักการดังกล่าวเป็นต้นแบบในการนำไปปรับใช้ในการแก้ปัญหาของเสียที่เกิดขึ้นในกระบวนการผลิตชิ้นงานพลาสติกอีกมากที่ยังไม่ได้มีการทำการศึกษาภายในบริษัท เพื่อลดจำนวนของเสียที่เกิดขึ้น และลดต้นทุนการผลิตให้กับบริษัทอีกด้วย</p>2025-06-17T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมบ้านสมเด็จhttps://ph04.tci-thaijo.org/index.php/JEITB/article/view/8242เครื่องอบกล้วยน้ำว้าด้วยพลังงานหมุนเวียน2025-01-16T08:29:53+07:00ธวัชชัย พงษ์สนามthawatchai.po@bsru.ac.thฉมาธร กุยศรีกุลthawatchai.po@bsru.ac.th<p>ปัจจุบันมลภาวะทางสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นอย่างมากมาย รวมทั้งทางอากาศที่ก่อให้เกิดปัญหาทางการผลิตอาหารตากแห้งทำให้มีสิ่งสกปรกเจือปนต่างๆมากขึ้น เช่นอากาศที่ปนเปื้อนไม่สะอาด ฝุ่นPM2.5 อากาศเสียจากโรงงานต่างๆ ควันจากท่อไอเสีย รวมถึงการที่ฝนตกไม่ถูกต้องตามฤดูการ ซึ่งปัญหาที่ตามมาทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพกายและสุขภาพจิตทั้งตนเองและผู้ที่ได้ร่วมรับประทาน ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะแก้ไขปัญหาโดยการศึกษาสร้างเครื่องอบกล้วยน้ำว้าด้วยพลังงานหมุนเวียน โดยความร้อนของหลอดไฟจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ผลิตกระแสไฟฟ้าจากแผงโซล่าเซลล์ และความร้อนที่ได้จากหลอดไฟที่ใช้กระแสไฟฟ้าตามบ้านเรือนทั่วไป ที่สามารถอบอาหารได้อย่างปลอดภัยโดยการนำกล้วยน้ำว้ามาเป็นอาหารอบแห้ง เนื่องจากกล้วยน้ำว้าเป็นผลไม้ที่หลายบ้านปลูกและหาได้ง่าย สามารถนำมาแปรรูปเพื่อเก็บรักษาให้นานยิ่งขึ้น หรือสามารถขายเพื่อสร้างรายได้ให้ครอบครัว</p> <p>ผลการทดสอบพบว่าการอบกล้วยน้ำว้าด้วยแผงโซล่าเซลล์ขนาด 12V 120W เพียงอย่างเดียวจะใช้ระยะเวลานานมากกว่า 4 ชั่วโมง ความชื้นด้านในกล้วยน้ำว้ายังคงมีอยู่ ทำให้เวลารับประทานยังมีความชื้นอยู่ ซึ่งอุณหภูมิความชื้นที่วัดได้จะอยู่ที่ช่วง 73% ในส่วนการใช้หลอดไฟขนาด 100 วัตต์และ 60 วัตต์ จะใช้ระยะเวลาอบอยู่ที่ 3 ชั่วโมง ผลที่ได้คือความชื้นที่หลอดไฟขนาด 60 วัตต์ จะได้ความชื้นด้านในกล้วยน้ำว้ายังคงเหลืออยู่บ้าง ทำให้เวลารับประทานจะไม่รู้สึกแห้งกระด้าง หรือเหนียวมากเกินไป ซึ่งอุณหภูมิความชื้นที่วัดได้จะอยู่ที่ช่วง 66 %</p>2025-06-17T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมบ้านสมเด็จhttps://ph04.tci-thaijo.org/index.php/JEITB/article/view/8423เครื่องคัดแยกขนาดดอกดาวเรือง2025-02-11T08:49:12+07:00หทัยรัตน์ เกตุมณีชัยรัตน์hathairat.k@cit.kmutnb.ac.thขวัญชัย เสวีนันท์hathairat.k@cit.kmutnb.ac.thโสภิดา ท้วมมีhathairat.k@cit.kmutnb.ac.th<p>งานวิจัยนี้จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการออกแบบและสร้างเครื่องคัดแยกขนาดดอกดาวเรือง เพื่อแก้ไขปัญหาการคัดแยกขนาดดอกดาวเรือง ให้ใช้ระยะเวลาในการคัดแยกขนาดลดลง รวมถึงลดความผิดพลาดจากการคัดแยก เครื่องคัดแยกขนาดดอกดาวเรืองออกแบบให้มีขนาดโดยรวมเท่ากับ ความกว้าง x ความยาว x ความสูง ประมาณ 1,211 x 2,450 x 1,546 มิลลิเมตร ซึ่งประกอบด้วยส่วนสำคัญหลายส่วน ดังนี้ ชุดโครงเครื่อง ชุดถาดเขย่า ชุดลำเลียงและคัดแยกขนาด ชุดปรับเปลี่ยนทิศทาง ชุดรองรับ ชุดควบคุมการทำงาน เป็นต้น ผลการทดสอบการทำงานของเครื่องคัดแยกขนาดดอกดาวเรือง พบว่า เครื่องคัดแยกขนาดดอกดาวเรืองสามารถคัดแยกดอกดาวเรืองได้ 100 ดอกภายใน 3 นาที มีความผิดพลาดของการคัดแยกไม่เกินร้อยละ 15 และนับจำนวนดอกดาวเรืองได้แม่นยำ โดยนับเกินได้อยู่ในร้อยละ 15 ของดอกที่นับทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้</p>2025-06-17T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมบ้านสมเด็จhttps://ph04.tci-thaijo.org/index.php/JEITB/article/view/8554Area-Based Internship Recommendation System of Applied Data Mining2025-04-09T08:28:30+07:00Pornthip Liewtrakulpliewtrakul@hotmail.comRattana Leerungnavaratpliewtrakul@gmail.comChatchanan Iniampliewtrakul@gmail.com<p>This study aimed to 1) develop 2) evaluate and 3) examine the satisfaction of users of the Area-Based Internship Recommendation System of Applied Data Mining. The system was designed and developed to respond to the comprehensive performances. It was suitable for the abilities of everyone to search for establishments close to the accommodation. provide maps of the company's location and navigate to those locations. Establishments can advertise for interns that meet their needs. The developed system looks like a website, can be accessed through various browsers such as Google Chrome, Mozilla Firefox, and can be displayed on Pcs, smartphones, or tablets. It also had a map to show where individual companies and could navigate the interns to those places. Moreover, it could also advertise the recruitment of internship students in accordance with their requirements through the system. The system was developed a website-based on the Internet. It could be accessed through different browsers, such as Google Chrome and Mozilla Firefox. Its performance was displayed on PCs, smartphones and tables. The development approach based on the System Development Life Cycle (SDLC), and Apache was chosen as the server emulator for website. PHP was used for programming. MySQL was used for database management. The quality of the developed system was evaluated by 5 computer system experts. The result of evaluation was high (x ̅ = 4.16, S.D. = 0.62). The satisfaction of the system was evaluated by 30 respondents of the sample group. The result of assessment was high (x ̅ = 4.21, S.D. = 0.64).</p>2025-06-17T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมบ้านสมเด็จhttps://ph04.tci-thaijo.org/index.php/JEITB/article/view/9051การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความหนาแน่นแห้งและความชื้น ของดินเหนียวด้วย Gaussian Model กรณีศึกษา จังหวัดปทุมธานี2025-04-18T14:29:08+07:00ภัทราภรณ์ เหนือศรีpattaraporn.nuea@vru.ac.thรัตนโชติ ทองป้องRattanachot.thong@vru.ac.th<p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างค่าความหนาแน่นแห้งและความชื้นของดินเหนียวโดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี โดยใช้วิธี Modified Proctor Compaction Test และเปรียบเทียบความแม่นยำของแบบจำลอง โดยข้อมูลถูกเก็บรวบรวมจากการทดลองในห้องปฏิบัติการ โดยการเตรียมตัวอย่างดินที่เก็บจากพื้นที่ศึกษา นำไปอบแห้งที่อุณหภูมิ 105°C และทำการบดและร่อนเพื่อคัดเลือกอนุภาคที่มีขนาดเฉพาะ จากนั้นใช้แม่พิมพ์บรรจุดินและทำการอัดดินในลำดับชั้นเพื่อลดช่องว่างและเพิ่มความหนาแน่นของดิน ข้อมูลจากการทดสอบถูกนำมาวิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือสถิติ การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) เพื่อหาแนวโน้มและความสัมพันธ์ระหว่างค่าความหนาแน่นแห้งและความชื้นที่เหมาะสม นอกจากนี้ยังใช้การวิเคราะห์โมเดลการถดถอยเชิงพหุนาม (Polynomial Regression), Gaussian Model และ Logistic Model เพื่อหาค่าความหนาแน่นแห้งและความชื้นที่เหมาะสม ผลการทดสอบพบว่า Gaussian Model เป็นโมเดลที่เหมาะสมที่สุดในการพยากรณ์ค่าความหนาแน่นแห้งตามค่าความชื้น เนื่องจากมีค่า RMSE และ MAE ต่ำที่สุด โดย Gaussian Model สามารถให้ค่าพยากรณ์ความหนาแน่นแห้งสูงสุด (Peak Dry Density) เท่ากับ 1.505 g/cm³ และค่าความชื้นที่เหมาะสม (Optimum Moisture Content, OMC) เท่ากับ 9% การเปรียบเทียบผลการทดสอบกับงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าผลลัพธ์ของการศึกษานี้มีความสอดคล้องกับงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับคุณสมบัติของดินเหนียวในบริเวณที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยการเลือกใช้ Gaussian Model ช่วยให้การวิเคราะห์มีความแม่นยำและสอดคล้องกับลักษณะของข้อมูลที่ได้จากการทดสอบ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ในการออกแบบและวางแผนงานก่อสร้างในพื้นที่ศึกษาต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>2025-06-17T00:00:00+07:00Copyright (c) 2025 วารสารวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรมบ้านสมเด็จ